แชร์

ความแตกต่างของ Critical Load กับ Non-Critical Load

อัพเดทล่าสุด: 11 พ.ค. 2025
24 ผู้เข้าชม

ความแตกต่างของ Critical Load กับ Non-Critical Load

โหลดวิกฤต (Critical Loads) คืออุปกรณ์หรือระบบที่มีผลโดยตรงต่อการดำเนินงานหลักขององค์กร และจำเป็นต้องใช้งานต่อเนื่องแม้ว่าไฟฟ้าหลักจะขัดข้อง เช่น เซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ข้อมูล หรืออุปกรณ์ช่วยชีวิตในโรงพยาบาล

ในขณะที่ โหลดไม่วิกฤต (Non-Critical Loads หรือ Non-Essential Loads) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถหยุดทำงานได้เมื่อเกิดไฟดับ เพราะไม่ได้จำเป็นต่อการดำเนินงานหลักขององค์กร เช่น เครื่องพิมพ์ ไฟในสำนักงาน หรือพัดลมตั้งโต๊ะ

ทุกวันนี้ หลายองค์กรพึ่งพาระบบประมวลผลข้อมูลและการสื่อสารอย่างมากจนกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน การล้มเหลวของระบบไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด อาจส่งผลกระทบร้ายแรง ดังนั้นการมี ระบบสำรองไฟ (UPS) หรือเครื่องปั่นไฟสำรองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์หรือระบบสำคัญยังสามารถทำงานได้ในช่วงที่ไฟฟ้าหลักดับ

โหลดเหล่านี้เรียกว่า โหลดวิกฤต (Critical Loads) ซึ่งต้องใช้งานต่อเนื่องโดยไม่มีไฟดับ หรืออย่างน้อยต้องสามารถปิดระบบได้อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสียหายต่อข้อมูล ระบบ หรืออุปกรณ์

สำหรับองค์กรทั่วไป โหลดสามารถแบ่งเพิ่มเติมได้อีก 2 ประเภท:

  • โหลดจำเป็น (Essential Loads): เป็นโหลดที่ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานหลัก แต่ยังมีความสำคัญในแง่ของสุขภาพและความปลอดภัย เช่น ไฟฉุกเฉิน โหลดเหล่านี้ยังต้องการระบบสำรองไฟ แต่ไม่จำเป็นต้องจ่ายไฟอย่างต่อเนื่อง สามารถรอจนกว่าเครื่องปั่นไฟจะเริ่มทำงานได้
  • โหลดไม่วิกฤต (Non-Essential Loads): เป็นโหลดที่องค์กรสามารถยอมให้หยุดทำงานได้เมื่อไฟดับ เช่น เครื่องพิมพ์ ไฟทั่วไป หรือพัดลม

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการจัดประเภทโหลด
การตัดสินใจว่าโหลดใดเป็นโหลดวิกฤตหรือไม่วิกฤต ควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:

  • ผลกระทบทางการเงิน เช่น การสูญเสียรายได้ หรือผลกระทบต่อการให้บริการลูกค้า
  • การให้บริการและความสามารถในการดำเนินงาน
  • ผลกระทบต่อการผลิตและประสิทธิภาพการทำงาน
  • ความปลอดภัย คุณภาพ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • การรักษาความปลอดภัยและการควบคุมระบบ
  • ชื่อเสียงขององค์กรและความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
เมื่อระบุโหลดวิกฤตได้แล้ว ควรจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นและระยะเวลาที่ต้องการให้ทำงานในกรณีไฟดับ

ตัวอย่างเช่น โหลดบางประเภทอย่างเซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ อาจต้องการเพียงพลังงานสำรองเพื่อปิดระบบอย่างปลอดภัย แต่ในกรณีของอุปกรณ์ช่วยชีวิตในโรงพยาบาลหรือเครือข่ายโทรคมนาคม อาจต้องการพลังงานต่อเนื่องให้นานที่สุด การจัดลำดับความสำคัญนี้เรียกว่า การปลดโหลด (Load Shedding)

หากท่านไม่แน่ใจว่าโหลดที่ใช้งานของท่านคือโหลดชนิดไหน BT Connect ให้บริการดูหน้างานเพื่อประเมินความต้องการด้านพลังงานของลูกค้าอย่างละเอียด ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมนำเสนอเครื่องสำรองไฟที่เหมาะสมกับประเภทโหลดวิกฤตและโหลดไม่วิกฤต เพื่อให้มั่นใจในความต่อเนื่องของการดำเนินงานขององค์กร เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพและความคุ้มค่า

บทความที่เกี่ยวข้อง
ความแตกต่างระหว่าง Line Interactive UPS กับ Online UPS
การเลือกเครื่องสำรองไฟ (UPS) ที่เหมาะสมกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเลือก Line Interactive UPS หรือ Online UPS เพราะทั้งสองแบบมีจุดเด่นและจุดแตกต่างกันในเรื่องคุณสมบัติและประสิทธิภาพการป้องกันระบบไฟฟ้า
16 ม.ค. 2025
วิธีการคำนวนไฟ UPS และเลือกขนาดเครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS)
มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกขนาดของ UPS (เครื่องสำรองไฟ)
16 ม.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy